8.19.2552

คัมภีร์และหลักคำสอนที่มีความสำคัญของกลุ่มฮะเรคริชณะ (สมาคมนานาชาติเพื่อคริชณะจิตสำนึก) ตอนที่1


ศรี อุปนิษัท
เป็นหนึ่งในคัมภีร์พระเวท ซึ่งเป็นอีกเล่มหนึ่งที่มีความสำคัญ
คัมภีร์พระเวท เป็นหลักคำสอนที่บอกให้เราใช้ชีวิตและทำตัวอย่างไร บนโลกวัตถุ (โลกในยุคปัจจุบัน)
เช่น เรื่องการทำธุรกิจ การแต่งงาน การครองเรือน
ซึ่งข้อมูลส่วนมากของคัมภีร์จะเน้นเรื่องของการใช้ชีวิตบนโลก
อุปนิษัท เป็นที่รู้จักกันมากในแวดวงวิชาการ ซึ่งที่จริงแล้ว อุปนิษัทในโลกนี้ มีมากกว่า 100 เล่ม
แต่เล่มที่สำคัญๆ จะมีอยู่ประมาณ 10 เล่ม
สมาคมนานาชาติเพื่อคริชณะจิตสำนึก( International Society for Krishna Consciousness )
เป็นสมาคมที่มีสมาชิกและวัดอยู่ทั่วโลก และเป็นที่ยอมรับทางด้านปรัชญา ได้ร่วมศึกษาปรัชญาอุปนิษัทมาเป็นเวลานาน
อุปนิษัท เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตทิพย์ สำหรับความหมายของคำนี้ ก่อนอื่นให้เราทำความเข้าใจโลกใบนี้เสียก่อน และมองโลกอย่างที่เป็นอยู่
และหากเราเริ่มตั้งคำถามว่า มีอะไรเหนือไปกว่าความสุขบนโลกใบนี้
คำตอบนั้นคือ ชีวิตทิพย์
สมาคมนานาชาติเพื่่อคริชณะจิตสำนึก มีหนังสือสำคัญ 2 เล่ม เป็นหลักในการสอนให้กับสมาชิกของสมาคมที่มีอยู่ทั่วโลก คือ
ภควัทคีตา
ชรีมัด บากะวะทัม
คัมภีร์พระเวทที่มีอยู่ในจำนวนหลายเล่มนั้น ได้เน้นไปที่การช่วยให้เรามีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข ซึ่งเท่ากับว่า เราจะมีความสุขในโลกที่เต็มไปด้วยวัตถุใบนี้
แต่โดยภาพรวมแล้ว อุปนิษัททุกเล่มเป็นหนังสือแห่งปวงปรัชญา ซึ่งอาจยากต่อการทำความเข้าใจ
ในปัจจุบัน คนจำนวนมากจะอ่าน ภควัทคีตา และ ชรีมัด บากะวะทัม
สาเหตุหลัก เพราะ อาจารย์ที่ยึดหลักคำสอนตามพระคัมภีร์ในเวลาปัจจุบัน รู้สึกว่า ตนเองตกตำ่ลง และจะหาคนที่มาเป็นครูผู้สอนเรื่องเหล่านี้ได้ยากมาก เพราะผู้ที่จะสอนได้ ต้องเป็นผู้ที่สมบูรณ์จริงๆ
ซึ่งต้องมีจิตใจมั่นคง ควบคุมตนเองได้ และในปัจจุบัน เราหาพราหมณ์ที่มีความพร้อมในทุกด้าน เช่นในสมัยโบราณไม่ได้
และไม่มีคนที่เป็นตัวอย่าง ที่สามารถทำได้ถูกต้องตามคัมภีร์
คนในปัจจุบันจึงลดความเคารพในคัมภีร์ลง

อุปนิษัทอาจไม่ใช่คัมภีร์ของไวชะณะวะโดยตรง แต่ในคัมภีร์บอกไว้ว่า ผู้ที่สมบูรณ์สูงสุด มีทุกอย่าง นอกเหนือไปจากประสบการณ์ของเรา ซึ่งก็คือ พระผู้เป็นเจ้าต้องมีบุคลิกภาพ และมีความสมบูรณ์สูงสุด
คำสอนของศาสนาหลักๆในโลกนี้ส่วนมากจะไม่เน้นความเชื่อในรูปลักษณ์ ซึ่งอาจยกตัวอย่างได้จากในประเทศอินเดีย จะมีกลุ่มผู้ที่นับถือในแนวทางไร้รูปลักษณ์ของพระเจ้า เช่นนี้ เป็นจำนวนมาก
และทางโลกตะวันตก ก็มีอยู่จำนวนมากเช่นกัน
ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการที่โลกเปลี่ยนไป ผู้คนหันไปสนใจวัตถุนิยมกันมากขึ้น เรามุ่งเน้นไปที่การกินดี อยู่ดี มีเสื้อผ้าสิ่งของ เครื่องใช้ บ้าน รถยนต์ และเลือกมีความสุขในช่วงเวลาของชีวิต
ผู้คนจึงจิตใจตกตำ่ลง และหันหลังให้กับพระเจ้า
มีผู้ไม่เชื่อในรูปลักษณ์จำนวนมากกล่าวไว้ว่า พระเจ้าไม่มีรูปลักษณ์
ซึ่งในความเป็นจริง เราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเลือกได้
แต่ในความเป็นจริง ยังมีความจริงอีกอย่างหนึ่งคือ ผู้ที่ไม่เชื่อและเคารพในรูปลักษณ์ของพระเจ้า ในท้ายที่สุด จะเริ่มเบื่อหน่ายพระเจ้าที่ไม่มีรูปลักษณ์ และกลับไปหาโลกวัตถุอย่างถาวร
ส่วนคัมภีร์ที่กล่าวมาตั้งแต่เริ่มต้นของบทความนี้ จะเน้นไปที่ " ไม่มีอะไรสูงไปกว่าทิพย์ "
เพราะหากรูปลักษณ์ของมนุษย์ เป็นสิ่งที่ธรรมชาติจัดสรรมาให้เรา เพื่อบรรลุถึงสัจธรรมที่สมบูรณ์ได้
ผู้เบาปัญญา จะต่อว่าพระเจ้าว่า ทำให้เขาได้รับความทุกข์ และไม่จัดสรรอะไรให้พวกเรา
แต่ในความเป็นจริง เรามีทุกข์ เพราะเรานำสิ่งที่พระเจ้าจัดสรรให้ มาใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง
และเราไม่สามารถมองเห็นพระเจ้าได้ เพราะพระเจ้าอยู่เหนือสามระดับแห่งธรรมชาติวัตถุ และเรายังอยู่ในสามระดับนั้น
ผู้ที่ไม่เชื่อในรูปลักษณ์มักจะกล่าวว่า พระเจ้าคือทุกอย่าง และทุกที่ จนกระทั่งในที่สุด ก็มีคนกล่าวว่า เราคือพระเจ้า และตั้งตัวเป็นพระเจ้าเสียเอง
อุปนิษัทกล่าวว่า พระเจ้าคือทุกอย่าง ทุกแห่งหน พระองค์มีบุคลิกภาพ และพระองค์มีความสมบูรณ์สูงสุด ทรงอยู่เหนือโลกวัตถุ ไม่ได้อยู่ใต้กฏเกณฑ์ของธรรมชาติวัตถุ
ไม่ว่าจะอย่างไร พระเจ้าก้จะไม่สูญเสียความเป็นพระองค์เอง
เช่นเดียวกับการที่เราเอาส่วนที่สมบูรณ์ออก ส่วนที่เหลือก็ยังคงสมบูรณ์

เรียบเรียง : Ya Prabhuji : edit and rearrange

6.16.2552

Bangkok Annual Ratha Yatra Festival 28th June 2009

rathayatra bangkok

สมาคมนานาชาติเพื่อคริชณะจิตสำนึก (ประเทศไทย)

ขอเชิญชวนร่วมงาน ขบวนราชยาตรา

ในวันอาทิตย์ที่ 28 มิ.ย. 2552

งาน เริ่มเวลา 13.00 น. จากหน้าประตูสวนลุมพินี (เยื้อง สน .ลุมพินี) วนเข้า ถ.สารสิน สีลม เจริญกรุง เยาวราช พาหุรัด เฉลิมกรุง เสาชิงช้า

และสิ้นสุดที่วัดเทพมนเทียร (มีการแสดงละคร และอาหารแจกฟรีตลอดงาน)

6.12.2552

BANGKOK RATHAYATRA 2009 จะกันนาท ระทะยาทระ

Photobucket


ฮาเร คริชณะ ฮาเร คริชณะ
คริชณะ คริชณะ ฮาเร ฮาเร
ฮาเร รามะ ฮาเร รามะ
รามะ รามะ ฮาเร ฮาเร

5.20.2552

Why Practice Krฺsฺnฺa Consciousness ?


  We are not these bodies but spirit souls. The body is temporary but the soul (jivatma) residing in each body is eternal.

   Each soul has an eternal, dynamic, blissful relationship with the Supreme Soul, the Supreme Personality of Godhead, Lord Krsna. Our actual life is not in this material world but in the spiritual world with Krsna.

   Krsna directly presides over the spiritual world. There He is surrounded by countless loving servitors who are all completely pure devotees, perfect beings with only one desire: to please Krsna. They are totally free from mundane desires, lust, greed, and envy.

   In the spiritual world, everything - the land, the trees, the homes, the water - is conscious and blissful. There is sorrow but only enjoyment. Not the stale, false enjoyment of this material world, but meaningful spiritual ecstasy in relationship with Krsna. Krsna eternally performs wonderful variegated. activities with His devotees. Life there is a constant festival of singing, dancing, playing, and eating with the Supreme Personality of Godhead.

   Those souls who, out of madness, are inimical towards Krsna are placed in the material world. This world is like a prison house for reformatory punishment. The conditioned souls here suffer repeated by maya( illusion) and insane due to false prestige, the conditioned soul imagines himself happy even when in the body of a stool - eating hog. From the topmost planet to the lowest, this world is a great ocean of distress.

   Krsna does not want us to rot in the material world. He is calling us to come back to the spiritual world to live happily with Him forever. Those who are intelligent listen to Krsna ( as He speaks in Bhagavad - gita As It Is) and try to make a solution to the problem of repeated birth and death. They take up devotional service to revive their dormant Krsna consciousness and go back to Godhead.

   In the present age, Kali - yuga, Krsna Himself taught Krsna consciousness in His most merciful incarnation, Sri Caitanya Mahaprabhu. Lord Caitanya inaugurated the sankirtana movement, a movement centered on the congregational chanting of the Holy Names. Sankirtana is the simplest and most joyful process for realizing God. It is kevala ananda - kanda - simply joyful.

   Krsna consciousness is not a dull, dry, ritualistic religion. Krsna consciousness means chanting the holy names, dancing in ecstasy, feasting on Krsna prasada, associating with saintly devotees, serving the Supreme Personality of Godhead in His Deity form, appreciating the unsurpassable beauty of Deity, understanding profound philosophy, hearing about the potencies and pastimes of Krsna, and preaching His glories. Krsna consciousness means the mood of the spiritual world. It is a life of ever - increasing pleasure, and it ultimately brings us to the point where we can directly see Krsna and speak with Him face to face.

   Krsna consciousness is the tried, tested, and proven method for achieving the perfection of life. Many persons in the past have become purified by Krsna consciousness and have thus attained to Krsna's lotus feet.

   Those whose spiritual intelligence is awakened will appreciate the unsurpassed mercy Lord Caitanya is giving by inviting us to join His sankirtana movement. Such persons take up Krsna consciousness with all sincerity, determined to make this their last birth in the material world.

   Even from the social or personal point of view, Krsna consciousness is so wonderful that it is beneficial for everyone. Simply by practicing devotional service, devotees develop all good qualities. They become kind, tolerant, humble, self - controlled, peaceful, and pleasing to all.Krsna consciousness even offers solutions to all economic, social, political, psychological, philosophical, and religious problems. How this is so is fully described in Srila Prabhupada's books.

   Therefore every thoughtful person should immediately take up Krsna consciousness with full heart and soul.   

4.30.2552

INTERNET : A Powerful tool for Connecting and Cultivating


     Srila Prabhupada wrote : " I am very encouraged by the reports of the tremendous success of your TV and radio programs. As much as possible try to increase our preaching programs by using all the mass media which are available. We are modern-day vaisnavas and we must preach vigorously using all the means available" (letter to Rupanuga, 30 December 1971)
     Muslim, Christians, and other groups are widely preaching through the internet. Srila Prabhupada stated numerous times that Vaisnavas use everything in Krishna's service, and the internet is no exception, where so many people spend most of their time - surfing, chatting, emailing, blogging, and so on. Software professionals spend more than half of their life on the computer desk. Where could be a better place to cultivate them ?
     My main experience in using the internet for getting to known new people and introducing them to Krishna consciousness is blogspot (in Thai & English language),and myspace. Systems of free webpage and have a lot for spaces for your post. You can sign up it at www.blogspot.com.and www.myspace. com / iskconbangkok. is another space which you can sign in and join us.

" In the cyber ocean many souls are seeking happiness "

International Society for Krishna Consciousness ( ISKCON BANGKOK )

4.13.2552

Hare Krishna Movement




     พระกรุณาธิคุณเจ้า เอ.ซี. บัคธิเวดันธะ สวะมิ พระบฺุพาดฺะ ปรากฏบนโลกนี้ในปี ค.ศ. 1896 ที่โกลกาตา ประเทศอินเดีย ครั้งแรกท่านพบกับพระอาจารย์ทิพย์ ชรีละ บฺัคธิสิดดานธะ สะรัสวะทีี โกสวามี ในปี ค.ศ. 1922 บฺัคธิสิดดานธะ สะรัสวะที เป็นักวิชาการทางศาสนาที่มีชื่อเสียง และเป็นผู้สถาปนา โกดียะ มะทฺะ (ขบวนการไวชะณะวะที่ มีด้วยกันทั้งสิ้น64 ศูนย์ ) ที่ประเทศอินเดีย ท่านชอบเด็กหนุ่มที่มีการศึกษาดีคนนี้ และปลูกฝังให้เขาอุทิศชีวิตเพื่อสอนความรู้ด้านพระเวท ชรีละ พระบฺุพาดฺะ ได้มาเป็นศิษย์ของท่าน และในปี ค.ศ. 1933 จึงได้รับการอุปสมบทให้เป็นสาวก
   ในการพบกันครั้งแรกนั้น ชรีละ บฺัคธิสิดดานธะ สะรัสวะทีี โกสวามี ได้ขอร้องชรีละ พระบุพาดฺะ ให้เผยแพร่ความรู้ด้านพระเวทเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งหลายปีต่อมา ชรีละ พระบุพาดฺะ ได้เขียนคำอธิบาย ภควัท คีตา และได้ช่วยงานของ โกดียะ มะทฺะ ในปี 1944 ท่านได้เริ่มทำวารสารรายปักษ์ชื่อ Back to Godhead (กลับคืนสู่พระเจ้า ) เป็นภาษาอังกฤษ ด้วยตัวคนเดียว ชรีละ พระบุพาดฺะ เป็นทั้งบรรณาธิการ พิมพ์ต้นฉบับ พิสูจน์อักษร และแจกจ่ายแต่ละฉบับด้วยตัวท่านเอง จนกระทั่งแม้ในปัจจุบัน วารสารฉบับนี้สาวกของชรีละ พระบุพาดฺะ ได้จัดพิมพ์อย่างต่อเนื่องไปทั่วโลกในหลายภาษา
     ในปี ค.ศ. 1950 ชรีละ พระบุพาดฺะ เกษียณจากชีวิตคฤหัสถ์เพื่ออุทิศเวลาในการศึกษา และเขียนหนังสือมากขึ้น ท่านเดินทางไปยังเมื่องศักดิ์สิทธิ์แห่งวรินดาวะนะ อาศัยอยู่อย่างสมถะที่วัดประวัติศาสตร์ ราดฺา ดาโมดะระ และ ที่แห่งนี้ ท่านได้อยู่และศึกษาอย่างลึกซึ้งและเขียนหนังสือเป็นเวลาหลายปี และรับเอาชีวิตสละโลก (สันนยาสะ หรือสันยาสี) ในปี ค.ศ. 1959 ชรีละ พระบุพาดฺะ ได้เริ่มผลงานชิ้นเอกของท่านที่วัดแห่งนี้ ด้วยการแปลหนังสือ ชรีมัด บากะวะทัม ( บฺากะวะทะ พุราณะ) 18,000 โศลก พร้อมทั้งเนื้อหาและคำอธิบายอย่างสมบูรณ์ หลังจากพิมพ์บฺากะวะทัมสามเล่ม ชรีละ พระบุพาดฺะ ได้เดินทางโดยเรือบรรทุกสินค้าไปที่นครนิวยอร์ก โดยที่ท่านเกือบไม่มีเงินเลย แต่มีความศรัทธาว่า ภารกิจของพระอาจารย์ทิพย์จะประสบความสำเร็จ ในวันที่มาถึงอเมริกา ท่านเห็นหมอกสีเทาปกคลุมตึกระฟ้ามากมาย จึงได้เขียนลงในสมุดบันทึกดังนี้ " พระองค์เจ้าคริชณะที่รัก ข้ามั่นใจว่า เมื่อสาส์นทิพย์นี้เจาะเข้าไปที่หัวใจของผู้คน แน่นอนว่าพวกเขาจะรู้สึกดีใจและหลุดพ้นจากสภาวะชีวิตที่ไร้ความทุกข์ทั้งปวง " ท่านอายุ 69 ปี ตัวคนเดียว และแม้ท่านจะมีหนทางอยู่ไม่มาก แต่ความรู้และการยอมอุทิศตนเสียสละที่ท่านมีอยู่เป็นแรงบันดาลใจและให้พลังในการทำงานของท่านอย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
     " ในวัยสูงอายุ คนส่วนใหญ่จะเกษียณ และพักผ่อนอย่างสุขสบาย " Harvey Cox นักวิชาการด้านศาสนาและนักประพันธ์แห่งมหาวิทยาลัย Harvard เขียนไว้ " ชรีละ พระบุพาดฺะ ได้เดินหน้าตามคำสั่งของพระอาจารย์ทิพย์ และเดินทางด้วยความยากลำบากตามคำเรียกร้องไปที่อเมริกา แน่นอนว่า ชรีละ พระบุพาดฺะ เป็นเพียงหนึ่งในหลายๆพันคนของบรรดาครู แต่ว่าท่านเป็นหนึ่งในพัน หรืออาจจะเป็นหนึ่งในล้านของคนเหล่านั้น
     ในปีค.ศ. 1966 ท่านได้สถาปนาสมาคมนานาชาติเพื่อคริชณะจิตสำนึก ( The International Society for Krishna Consciousness ) ซึ่งเป็นชื่ออย่างเป็นทางการของขบวนการ ฮะเร คริชณะ
     หลายปีต่อมา ชรีละ พระบุพาดฺะ ได้ดึงดูดให้คนมานับถือและเป็นสาวกนับพันๆคน ท่านได้เปิดวัดและอาศรมกว่าหนึ่งร้อยแห่ง และพิมพ์หนังสือจำนวนมากมาย ความสำเร็จที่นับว่าเป็นสิ่งพิเศษของท่านคือ ท่านได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งวัฒนธรรมทิพย์อันมีมาแต่โบราณของอินเดียลงไปในศตวรรษที่ยี่สิบ ณ ดินแดนของโลกตะวันตก
     ในปี ค.ศ. 1968 ชรีละ พระบุพาดฺะ ส่งสาวกสามคู่ ให้นำขบวนการคริชณะจิตสำนึกไปที่ประเทศอังกฤษ ในตอนแรก ครอบครัวชาวฮินดูที่ชื่นชอบภารกิจของสาวกเหล่านี้ได้ต้อนรับและดูแลสาวกทั้งหมด ต่อมาไม่นานนัก พวกเขาเป็นที่รู้จักกันในนครลอนดอนว่าเป็นนักร้องบนถนนที่ Oxford Street และต่อมาไม่นาน วารสาร Times ได้ขึ้นพาดหัววารสารว่า " การร้องเพลงสรรเสริญคริชณะทำให้ลอนดอนต้องตื่นตะลึง "และในเวลาไม่นาน บทสวดมหามนต์ ฮาเร คริชณะได้เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิกวงสี่เต่าทอง (The Beatles ) จอร์จ แฮรริสัน George Harrison ได้รู้จักกับ ชรีละ พระบุพาดฺะ มาก่อน และสวดภาวนาบทมหามนต์ดังกล่าว ก่อนที่ท่านจะส่งสาวกมาประเทศอังกฤษ และมีความปราถนาจะช่วยเหลือท่านเป็นอย่างดี จอร์จ แฮร์ริสัน ได้ทำการบันทึกเสียงเพลงบทมหามนต์ และผลิตภายใต้เครื่องหมายแอปเปิ้ลของวงสี่เต่าทอง อัลบั้มชุดนี้ได้ติดอันดับในประเทศอังกฤษ และเคยติดอันดับหนึ่งในหลายประเทศในช่วงเวลานั้น
     เมื่อชรีละ พระบุพาดฺะ เดินมาถึงประเทศอังกฤษ ท่านได้เป็นแขกของ John Lennon และ ได้พักที่บ้านพักในเมือง Tittenhurst โดยท่านได้ตกแต่งวัดที่ Bloomsbury ใกล้กับพิพิธภัณฑ์อังกฤษ ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1969 ท่านได้ทำการเปิดวัดแรกของ ราดฺา คริชณะ ที่ยุโรป ขบวนการจึงได้ขับเคลื่อนจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่ง และครั้งนี้ จอร์จ แฮร์ริสัน เสนอความคิดที่จะช่วยเหลือ ด้วยการถวายคฤหาสถ์ของตนเองที่สวยงามในเมือง Hertfordshire ให้ และปัจจุบันมีชื่อว่า คฤหาสถ์ บฺัคธิเวดันธะ เป็นศูนย์ปฏิบัติคริชณะจิตสำนึกที่สำคัญของสมาคมในประเทศอังกฤษจนกระทั่งปัจจุบัน
     ปัจจุบันสาวกของคริชณะ พบเห็นได้ทั่วโลก ตามเมืองใหญ่ๆ ด้วยการร้องเพลงในที่สาธารณะ และแจกจ่ายหนังสือความรู้พระเวทของชรีละ พระบุพาดฺะ พวกเขาได้จัดมหกรรมทางวัฒนธรรมที่มีความรื่นเริงตลอดทั้งปี และแจกจ่ายอาหารที่ถวายให้คริชณะ (เรียกว่า พระสาดัม ) เป็นล้านๆจานทั่วโลก ส่งผลให้สมาคมนานาชาติเพื่อคริชณะจิตสำนึกมีอิทธิพลอย่างสำคัญในชีวิตของผู้คนนับร้อยนับพัน A.L. Basham หนึ่งในผู้นำโลกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอินเดียได้เขียนไว้ว่า " ขบวนการ ฮาเร คริชณะ ถือกำเนิดขึ้นมาจากการไม่มีอะไรเลย และภายในยี่สิบปีก็กลับเป็นที่รู้จักกันทั่วไปทางตะวันตก นี่คือความจริงที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของโลกตะวันตก "
     ภายในสิบสองปี ถึงแม้ชรีละ พระบุพาดฺะจะเป็นผู้สูงอายุ ท่านเดินทางรอบโลกสิบสี่ครั้ง เพื่อปาถกถา ซึ่งท่านได้นำไปปาถกถาทั้งหกทวีป การเดินทางที่มากมายเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ผลงานด้านวรรณกรรมของท่านลดลงแต่อย่างใด ผลงานของท่านกลับมากมายถึงขนาดรวมเป็นห้องสมุดอันหลากหลายทั้งด้าน ปรัชญา ศาสนา วรรณกรรม และวัฒนธรรมทางพระเวท
     แน่นอนว่า สิ่งสำคัญที่ชรีละ พระบุพาดฺะให้ไว้แก่โลกคือ หนังสือของท่าน ซึ่งเป็นที่เคารพ และยอมรับโดยนักวิชาการในความน่าเชื่อถือได้ ทั้งในด้านความลึกซึ้งและชัดเจน ซึ่งหนังสือเหล่านี้ได้ถูกใช้เป็นตำราเรียนในวิชาที่เกี่ยวข้องกับปรัชญาต่างๆ ตามมหาวิทยาลัย
     Garry Gelade ศาสตราจารย์สาขาปรัชญาที่ Oxford University เขียนไว้ว่า "หนังสือเหล่านี้ถือว่าเป็นขุมทรัพย์ ไม่ว่าผู้ใดจะมีความเชื่อในปรัชญาอะไร เมื่อเปิดใจอ่านหนังสือเหล่านี้ จะต้องคล้อยตามและประทับใจแน่นอน" และ Dr. Larry Shinn คณบดีแห่งวิทยาลัย Arts and Sciences at Bucknell University เขียนว่า "คุณความดีส่วนตัวของ ชรีละ พระบุพาดฺะ ทำให้ท่านเป็นผู้น่าเชื่อถือได้ที่แท้จริง ท่านแสดงให้เห็นว่าตัวท่านมีความรู้ในพระคัมภีร์อย่างสมบูรณ์ ความลึกซึ้งแห่งการรู้แจ้งที่ไม่ธรรมดา และปฏิบัติตนเป็นตัวอย่างได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะว่าท่านใช้ชีวิตตามที่ท่านสอนอย่างแท้จริง"
     งานประพันธ์ของชรีละ พระบุพาดฺะ ถูกแปลมากกว่า 70 ภาษา The Bhaktivedanta Book Ttust สถาปนาขึ้นในปี ค.ศ. 1972เพื่อพิมพ์ผลงานของท่าน และได้ขยายเป็นผู้พิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดของหนังสือในด้านสาขาศาสนาและปรัชญาอินเดีย จนปลายปี ค.ศ. 1991 หนังสือของท่านได้จำหน่ายออกไป 450 ล้านเล่ม
ก่อนที่ชรีละ พระบุพาดฺะ จะจากโลกนี้ไปในวันที่ 14 พฤศจิกายน 1977 ท่านได้เป็นผู้นำทางสมาคมนานาชาติเพื่อคริชณะจิตสำนึก และดูแลการเจริญเติบโตให้เป็นสหพันธ์โลก ที่มีทั้งอาศรม โรงเรียน วัด สถาบัน และชุมชนเกษตร มากมายกว่าหนึ่งร้อยแห่ง จนปัจจุบัน

4.12.2552

เนื้อหาของ : ภควัท คีตา ( ฉบับเดิม )




     หนังสือ บะกะวัด  กีทา (ภควัทคีตา) ได้รับความนิยมจากการพิมพ์ และการอ่านอย่างแพร่หลาย แรกเริ่มเดิมทีจะเป็นตอนหนึ่งของมะฮาบาระทะ ( มหาภารตะ )ซึ่งเป็นวรรณกรรมประวัติศาสตร์ภาษาสันสกฤตของโลกในอดีต มะฮาบาระทะ ได้กล่าวถึงสถานการณ์ในประวัติศาสตร์ ซึ่งนำเรามาสู่ยุคปัจจุบัน คือ คะลิ ยุคะ (กลียุค) ซึ่งเป็นตอนเริ่มต้นของยุคปัจจุบันนี้ เหตุการณ์นี้เริ่มขึ้นเมื่อประมาณห้าพันปีก่อนหน้านี้ โดยพระคริชณะ (พระกฤษณะ) ตรัสบะกะวัด กีทา ให้แก่ อารจุนะ ( 
อรชุน)ซึ่งเป็นพระสหายและพระสาวกของพระองค์
     การสนทนาครั้งนี้เป็นการสนทนาปรัชญาและธรรมะอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่มนุษย์เคยรู้จักมา ปรากฏขึ้้นก่อนจะเกิดสงครามข้อบาดหมางอย่างรุนแรงในราชวงศ์กษัตริย์ ระหว่างโอรสหนึ่งร้อยพระองค์ของดริทะราชทระ และฝ่ายพาณดะวะ พระโอรสของพาณดุ ซึ่งทั้งสองฝ่ายเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน
     ดริทะราชทระและพาณดุเป็นพี่น้องกัน ประสูติในราชวงศ์คุรุ สืบเชื้อสายมาจากพระราชาบาระทะ ซึ่งเป็นผู้ปกครองโลกในอดีต ชื่อ มะฮาบาระทะ มาจากพระราชาองค์นี้ เนื่องจากดริทะราชทระทรงเป็นพระเชษฐาประสูติมามีพระเนตรพิการ บัลลังก์ซึ่งควรจะเป็นของพระองค์จึงตกมาเป็นของพระอนุชาพาณดุ
     เมื่อพาณดุสววรคตในขณะที่ยังทรงพระเยาว์ โอรสห้าพระองค์ ยุดิชทิระ บีมะ อารจุนะ นะคุละ และสะฮะเดวะ ได้มาอยู่ภายใต้การดูแลของ ดริทะราชทระ ผู้ขึ้นครองราชแทนพาณดุ ดังนั้นพระโอรสของ ดริทะราชทระ และพระโอรสของพาณดุทรงเจริญเติบโตในพระราชวังเดียวกัน ทั้งสองตระกูลได้รับการฝึกฝนศิลปการทำศึกสงครามจากพระอาจารย์ผู้ชำนาญ โดรณะ และบีชมะ พระอัยกาผู้ควรแก่การเคารพนับถือ และเป็นผู้ให้คำปรึกษา
     แต่ว่าพระโอรสของ ดริทะราชทระ โดยเฉพาะดุรโยดะนะองค์โตที่สุด จงเกลียดจงชังและอิจฉาพาณดะวะ พระราชาดริทะราชทระผู้มีพระเนตรบอดสนิทซำ้จิตใจเลวร้ายประสงค์ให้โอรสของตนเองขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อไป และไม่พึงประสงค์ให้พาณดะวะได้ขึ้นครองราชย์
     ดังนั้นเมื่อได้รับอนุญาตจากดริทะราชทระ ดุรโยดะนะจึงวางแผนสังหารโอรสทั้งหมดของพาณดุ แต่เสด็จอาวิดุระและพระคริชณะให้ความคุ้มครองพาณดะวะอย่างระมัดระวัง องค์คริชณะทรงเป็นพระญาติของพาณดะวะ ดังนั้น พาณดะวะจึงสามารถหลบหลีกการลอบปลงพระชนม์ได้หลายครั้ง
     พระคริชณะทรงเป็นพระเจ้าสูงสุดที่แสดงบทบาทเป็นเจ้าชายในราชวงศ์สมัยเดียวกันนี้้ ในบทบาทนี้พระองค์ทรงเป็นพระราชนัดดาของพระแม่นางคุนที หรือพระแม่นางพริทา พระมเหสีของพาณดุผู้เป็นมารดาขแงพาณดะวะ ดังนั้น ทั้งสองพระองค์ทรงเป็นญาติกัน และทรงเป้นผู้ทะนุบำรุงศาสนาเสมอมา พระคริชณะ ทรงโปรดโอรสของพาณดุผู้ทรงคุณธรรม พระองค์จึงคุ้มครองพาณดะวะ
     ในที่สุด ดุรโยดะนะผู้ฉลาดแกมโกงได้ท้าทายพาณดะวะเล่นเกมส์การพนัน ดุรโยดะนะและพระอนุชา ได้รับชัยชนะ พระนางโดรพะดี พระชายาผู้บริสุทธิ์และจงรักภักดีของพาณดะวะได้ตกเป็นเหยื่อจากเกมส์การพนันในครั้งนี้ โดยการดูถูกและพยายามจับเธอเปลื้องผ้าต่อหน้าที่ชุมนุมของโอรสและกษัตริย์ทั้งหลาย พลังอำนาจของพระคริชณะทรงช่วยเธอไว้ แต่การพนันที่มีการวางแผนฉ้อโกงไว้ล่วงหน้าได้โกงเอาราชณาจักรของพาณดะวะ และเนรเทศโอรสของพาณดะวะทั้งห้าไปอยู่ในป่าเป็นเวลาสิบสามปี 
     หลังจากพ้นกำหนดการเนรเทศ พาณดะวะ ทรงขอราชอาณาจักรซึ่งเป็นสิทธิของพวกตนที่ควรจะได้ แต่ดุรโยดะนะปฏิเสธอย่างไม่ใยดี ในฐานะที่เป็นโอรสกษัตริย์จึงมีหน้าที่จะต้องรับใช้ด้วยการปกครองบ้านเมือง พาณดะวะทั้งห้าพระองค์จึงขอเพียงห้าหมู่บ้านมาปกครอง แต่ดุรโยดะนะปฏิเสธอย่างยะโสโอหังว่าจะไม่ให้แม้แต่ที่ดินพอที่จะเอาไปปักเข็ม
     ทั้งหมดนี้ พาณดะวะพยายามอดทนและอดกลั้นเสมอมา แต่ครั้งนี้ดูเหมือนว่าสงครามจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
     อย่างไรก็ดี ขณะที่เจ้าชายต่างๆในโลกแบ่งพวกกัน บ้างก็ไปร่วมกับโอรสของดริทะราชทระ บ้างก็ไปร่วมกับพาณดะวะ พระคริชณะทรงแสดงบทบาทเป็นผู้ส่งสารให้โอรสของพาณดุ พระคริชณะเสด็จไปที่ศาลสถิตยุติธรรมของดริทะราชทระเพื่อขอร้องให้สงบศึก แต่เมื่อคำขอร้องถูกปฏิเสธ สงครามจึงต้องเกิดขึ้น
     พาณดะวะผู้มีคุณธรรมอันสูงส่ง ทรงทราบดีว่าพระคริชณะคือบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า ขณะที่ผู้มีบาปหนาเยี่ยงเหล่าโอรสของดริทะราชทระไม่เชื่อเช่นนั้น ถึงกระนั้น พระคริชณะทรงเสนอที่จะร่วมรบด้วย ตามที่ผู้ไม่มีความศรัทธาปราถนา ในฐานะที่คริชณะทรงเป็นพระเจ้า พระองค์จะไม่รบด้วยพระองค์เอง หากฝ่ายใดปราถนาจะได้กองทัพของพระองค์ไปอีกฝ่ายก้จะได้องค์คริชณะมาเป็นที่ปรึกษาและผู้ช่วย ดุรโยดะนะทรงเป็นอัจฉริยะทางการเมือง จึงเลือกเอากองทัพของพระคริชณะ ขณะที่พาณดะวะยินดีที่จะได้องค์คริชณะมาอยู่ฝ่ายตน
     ด้วยเหตุนี้ พระคริชณะจึงทรงมาเป็นสารถีของอารจุนะ และทรงรับเอาราชรถขุนศึกมาขับ นี่คือจุดกำเนิดของ บะกะวัด กีทา ขณะที่กองทัพของทั้งสองฝ่ายเรียงรายกันเป็นทิวแถวพร้อมที่จะรบ และดริทะราชทระตรัสถามสันจะยะ เลขาของพระองค์ อย่างสนพระทัยว่า "พวกเขากำลังทำอะไรกัน ?"

  โครงเรื่องได้วางไว้เรียบร้อยแล้ว ในที่นี้จะกล่าวถึงการแปลและการอธิบายโดยย่อ

    โครงสร้างของผุ้แปลบะกะวัด กีทา ที่เป็นภาษาอังกฤษ และโดยทั่วไป (รวมถึงภาษาไทย) จะขจัดเอาพระคริชณะไปอยู่ข้างๆ เพื่อที่ผู้แปลเองจะได้เสนอแนวความคิดและแนวปรัชญาว่า ประวัติศาสตร์มะฮาบาระทะ เป็นเพียงนวนิยายประหลาดโบราณ และองค์คริชณะเป็นเพียงเครื่องมือทางกวีเพื่อเสนอความคิดของอัจฉริยะที่ไม่ประสงค์จะออกนาม หรืออย่างดีที่สุด พระคริชณะ ก็เป็นเพียงตัวประกอบทางประวัติศาสตร์
   แต่สำหรับ บะกะวัด กีทา ฉบับดั้งเดิมนั้น คริชณะ ทรงเป็นทั้งจุดมุ่งหมายและแก่นสารที่สำคัญของ บะกะวัด กีทา ดังที่ กีทา ได้กล่าวไว้ในตัวเอง ดังนั้น ในการแปลและการอธิบายบะกะวัด กีทา ในบทความทั้งหมดของบล็อกนี้ จะนำผู้อ่านมุ่งตรงไปสู่องค์คริชณะ แทนที่จะนำเราออกห่างจากพระองค์ ซึ่งบะกะวัด กีทา ฉบับเดิมนี้ มีเอกลักษณ์ของตนเอง และเอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งก็คือ บะกะวัด กีทา ตลอดทั้งเล่ม มีความคงเส้นคงวา และเป็นที่เข้าใจเชื่อถือได้ และพระคริชณะทรงเป็นผู้ตรัส บะกะวัด กีทา ด้วยตัวพระองค์เอง และทรงเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของบะกะวัด กีทา ตามที่ควรจะเป็น เพื่อการนำเสนอคำแปลศาสตร์ของพระคัมภีร์อันยิ่งใหญ่โบราณตามความเป็นจริง

เพิ่มเติม
***  บะกะวัด กีทา เป็นสิ่งที่คริชณะกล่าวไว้ในสงครามที่ทุ่งคุรุคเชทระ ด้วยเวลา 45 นาที แต่เราอ่าน บะกะวัด กีทา ทั้งชีวิต ก็ไม่สามารถเข้าใจเนื้อหาของหนังสือได้ทั้งหมด

โดยสมาคมนานาชาติเพื่อคริชณะจิตสำนึก ( ISKCON BANGKOK )   

3.31.2552

Hare Krishna in Thailand



This procession wasn't part of Buddhist Lent but it was full of religious fervor.In Lumpini Park,incense and chanting filled the air and it could have been the 1960s all over again.Sari- clad women and saffron- robed men with shaved heads were clapping and
singing.Some threw packers of fruits and nuts to onlookers.With streaks of pale clay on their foreheads and nose,they thumped tambourines and banged cymbals.Their chorus " Hare Hare Om."
     Forming an unusual sight,the Hare Krishnas,the famous and controversial religious group now referred to as the International Society for Krishna Counciousness ( ISKCON ),gathered by the scores in Bangkok on Sunday in honor of Lord Jagannath's Rathayatra,a festival celebrated by Hare Krishnas all over the world.It dates back 2000 years,and originated in the Jagannath temple,in Puri on the coast of India.Starting from Lumpini Park they formed an exuberant procession wended its way along Wireless,Sarasin and Ratchadamri roads,culminating at the Hindu Samaj temple near the Giant Swing.
   "Nama Om Vishnu Pradaya Krishna Pristaya Buthalay Shrimathaya"("I offer my respectful obeisance to his divine Grace"),said a Hare Krishna devotee into a mike,leading the chorus in the procession.Many hawkers and passersby in the street gave respectful wais as they caught packets of sweet meats.
     At the tail of the procession was a Toyota truck bearing a shrine with the images of deities Balarama, Subadra, and the main idol of Jagannath, depicted as ablack figure with round eyes Thecrowd was mostlyethnic Indian with a smattering of Thais and foreigners who had come from abroad to join the festivities. 
     Yet in Lumpini Park,it is not quite the 1960s all over again.For one,there aren't as many people wearing the famous saffron robes - a sign that devotee has sworn to be celibate( devotees during the 1960s and 1970s frequently took them selves out of secular society).Many of the men are wearing white gowns,an indication that they are"householders" - that they wives and families.
     They were also leaving scandal in their vake,Rocked to its foundations by allegations of child sex abuse in the US and India that resulted in a class - action lawsuit in 2001,the abuse is said to have occurred in boarding schools during the 1960s and 1970s.
     After many children raised in Hare Krishna boarding schools came forward to testify that they had been abused,its spokespersons have been quoted in the media as admitting to the abuse.Its leaders have,their credit,apologized.The Hare Krishna movement offered support and financial compensation to victims.However,many victims quoted in various news channels say the perpettrators have yet to be brought to justice.
     Now scattered across the globe,with pockets in India, North America and Europe, ISKCON claims a million adherents around the world, although many experts say its numbers are probably much smaller. Today, the lifestyle imposed on devotees is less austere and its followers are less likely to be concerned with " converting " the masses.Many lead secular lives, and are almost indistinguishable from their co - workers in dress and habits.
     The story of how the Hare Krishna movement got started is legendary among its adherents even today.Propagated by Bhaktivedanta Swami Prabhupada,a guru preaching a type of Hindu monotheism known as Gaudiya Vaishnava,Prabhupada set sail for the US from India with only a few rupees in his pocket in 1965.Prabhupada drew from the ideas of a 15th century Bengali monk by the name of Sri Caitanya Mahaprabhu, whose principles were based on an ascetic lifestyle and the chanting of Krishna's name.
     Many of Prabhupada's followers embraced his philosophy with missionary fervor, some leading monastic lives. In the 1960s and 1970s, Hare Krishna followers were known for selling books at airports, cutting ties with society and sending their children to boarding schools in order to concentrate on spiritual enlightenment. 
     In Thailand, the first Hare Krishna missionaries were mostly Europeans - not Indian - and arrived around 30 years ago, settling in Soi Puthaosot, Sri Phraya. Most would proselytize for a year or two before leaving, dogged by visa and language problems.
     Today, claims its followers, the movement has grown into thethousands, although this figure is impossible to verify due to a lack of official records. However, Ram Laksman, a senior figure with ISKCON, says that Bangkok has about six "house programs." One of these is based in Lumpini Park, where 50 to 60 members gather every sunday to chant Krishna's name, listen to sermons and partake in prasadam - vegetarian food.
     A Hare Krishna follower typically adheres to four principles : abstension from gambling, drinking alcohol or caffeinated drinks, the eating of meat and eggs, and lastly, sex, with the exception of for the purpose of procreation and that only within marriage. Those that choose to serve at temples normally rise before dawn to begin a day of chanting and meditating.
     "Everyone can be a deevotee of Krishna, which gives bliss through the chanting of the Lord's name," say Laksman, who is 60 but looks at least 10 years younger. Dressed in a white robe with bright red trim and wearing trainers for the procession, Laksman, who is ethnically Thai, changed his name from Rod Jitchotvisut when he became a Hare Krishna follower after meeting some devotees in front of the White House some 30 years ago.He was traveling in the US to get a taste of the world and later obtained a degree in business studies at the North Eastern Illinois University.
     Today, he keeps his prayer beads in a handkerchief he carries with him at all times. He counts the 108 beads, chanting 16 recitations of the names of God every day, a process which takes him two hours. "The teachings are perfect and powerful. Through them you can be free. But to come to that part takes a lot, "he says. When he's not at the temple or with other devotees, Laksman can be found at the Bo Bae market in jeans and a T - shirt, selling underwear.


3.28.2552

ภควัท คีตา - หลักคำสอนต่อกลุ่มคริชณะจิตสำนึก (ฉบับภาษาไทย)






ภควัท คีตา เป็นศาสตร์ในการดำรงชีวิตที่ตรัสโดยคริชณะ (หรือพระกฤษณะ)ตั้งแต่ครั้งอดีต
บทเรียนแรกที่พระองค์ทรงสอนแก่เราคือ ร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวเรา และไม่มีอะไรในโลกนี้เป็นของเรา ตัวเราที่แท้จริงคือดวงวิญญาณที่เป็นอมตะ เปี่ยมไปด้วยความปลื้มปิติสุข และความรู้ ส่วนโลกวัตถุรวมทั้งร่างกายที่กักขังดวงชีวิตของเรา ไม่จีรัง ล้วนเต็มไปด้วยความทุกข์และอวิชชา
ในโลกวัตถุนี้ไม่มีอะไรถาวร ความสุขและความทุกข์ก็เช่นเดียวกัน คริชณะตรัสว่า เหมือนกับฤดูร้อนและฤดูหนาวซึ่งผ่านมาแล้วก็จะผ่านไป ทรงแนะนำให้เราอดทนในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
คริชณะทรงสอนให้เราฝึกจิตเหมือนกับใบบัว บางครั้งนำ้ไม่สะอาดกลิ้งขึ้นมาบนใบบัว แต่เมื่อกลิ้งขึ้นมาแล้วก็จะกลิ้งออกไป โดยไม่ซึมเข้าไปในใบบัวฉันใด หากเราฝึกจิตให้เหมือนกับใบบัว โดยสิ่งไม่สะอาดไม่สามารถซึมเข้าไปภายในใจ การปฏิบัติตามหน้าที่ของเราก็จะแน่วแน่มั่นคง นิรันดร เพราะเราปฏิบัติไปตามหน้าที่ให้ดีที่สุดด้วยใจรัก และระลึกถึงองค์คริชณะเสมอ

***สำหรับหนังสือ ภควัท คีตา ฉบับที่แปลโดยพระกรุณาธิคุณเจ้า เอ.ซี. บัคธิเวดันธะ สวะมิ พระบุพาดะ เป็นภควัทคีตาที่แปลและเรียบเรียงค่อนข้างเที่ยงตรง และแม่นยำ ไม่มีการบิดเบือนเนื้อหาภายในหนังสือที่มีมาแต่ครั้งอดีต (ดังเห็นได้จาก มีผู้แปลหลายท่าน เพิ่มเติมจินตนาการและเนื้อเรื่อง อีกทั้งยังมีการตีความเนื้อหาของภควัทคีตาไว้หลากหลาย จนบางครั้งหลักธรรมต่างๆในหนังสือได้บิดเบือนไปจากความเป็นจริงมากพอสมควร)
หากท่านสนใจและอยากร่วมฟังภควัทคีตาในแบบต้นฉบับ และดั้งเดิม (ภาษาสันสกฤต) และมีผู้บรรยายหลักธรรม และถาม ตอบ ภควัทคีตาเป็นภาษาไทย โดยใช้หนังสือ ภควัทคีตา ฉบับแปลภาษาไทย โดย พระกรุณาธิคุณเจ้า เอ.ซี. บัคธิเวดันธะ สวะมิ พระบุพาดฺะ ที่สามารถนำมาปรับใช้ได้ในสภาวะสังคมในปัจจุบัน ติดตามฟังการบรรยายได้ทุกวันอาทิตย์ ที่บริเวณสวนปาล์ม สวนลุมพินีวัน เริ่มตั้งแต่เวลาประมาณ 10.00 - 13.00 น. และทุกวันจันทร์ ตามตารางด้านซ้ายของบล็อกนี้ และร่วมรับประทานอาหารมังสวิรัติ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น

จัดโดยกลุ่มสมาคมนานาชาติเพื่อคริชณะจิตสำนึกแห่งประเทศไทย (ISKCON BANGKOK ,THAILAND)
 สำหรับท่านที่ไม่สะดวกในการเดินทางไปสวนลุมพินี โปรดติดตามได้ที่นี่ 

1.06.2552

คริชณะจิตสำนึก (ฮาเร กฤษณะ) คืออะไร




     หลักพื้นฐานของการมีชีวิตของมนุษย์ทั่วไป คือ เราจะต้องมีใจรักใครสักคน และคงไม่มีใครมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่รักใครเลย แต่สิ่งสำคัญคือ เราจะให้ความรักแก่ใคร และเมื่อให้ไปแล้ว ทุกคนจะได้รับความสุข
     ปรัชญาพื้นฐานนี้ถูกนำมาใช้แก่ผู้ปฏิบัติ คริชณะจิตสำนึก( Krishna Consciousness ) ซึ่งในประเทศไทย ผู้ปฏิบัติคริชณะจิตสำนึกอ าจเป็นคนกลุ่มหนึ่ง ที่มีจำนวนไม่มากนัก เมื่อเทียบกับสัดส่วนประชากรทั้งหมดของประเทศ และคนไทยรู้จักกันในนามของ กลุ่มฮาเร กฤษณะ (หรือ ฮะเร กฤษณะ ,ฮเร กฤษณะ ) ตามการอ่านในแบบภาษาไทย
     กฤษณะจิตสำนึก ( ในบล็อกนี้ ใช้คำว่า คริชณะจิตสำนึก ตามแบบภาษาเดิม) ผู้ปฏิบัติมุ่งเน้นกิจกรรมทุกอย่างเพื่อถวายแด่องค์คริชณะ หนึ่งในกิจกรรมพื้นฐานนั้น คือ ความรัก ที่เรามอบให้แด่องค์คริชณะ โดยการปฏิบัติตนในคริชณะจิตสำนึก และเมื่อปฏิบัติแล้ว จะกระตุ้นความรักที่เรามอบให้แด่องค์คริชณะ ซึ่งส่งผลให้เรามีชีวิตที่มีความสุข และรู้สึกสำนึกตนเองเสมอ ขณะเดียวกัน เราก็สำนึกและรับรู้ถึงองค์คริชณะไปพร้อมๆกัน เปรียบได้กับ เมื่อเรามองเห็นตัวเราในตอนเช้า เราก็เห็นดวงอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้า เช่นเดียวกัน แต่หากเราไม่เห็นแสงจากดวงอาทิตย์ เราก็ไม่สามารถมองเห็นตัวเราเองได้ นอกจากเราจะมีจิตสำนึก ซึ่งในสำนึกนั้น เราระลึกถึงคริชณะ และอุทิศตนรับใช้ด้วยความเต็มใจ ด้วยความมุ่งหมายที่บริสุทธิ์ใจ 
   การปฏิบัติกิจกรรมของผู้นับถือและอยู่ในกลุ่มคริชณะจิตสำนึก จะนำความรักโดยธรรมชาติที่เรามีต่อพระผู้เป็นเจ้าให้ปรากฏออกมา โดยแบ่งเป็นการปฏิบัติตนรับใช้ตามที่หลักธรรมคำสอนกำหนดไว้ เมื่อเราปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ศีลธรรม และคำสั่งของอาจารย์แล้ว เราก็จะยึดมั่นในองค์คริชณะมากขึ้น และปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรักที่เป็นไปตามธรรมชาติ 
   ภายในสมาคมคริชณะจิตสำนึก มีวิธีปฏิบัติเพื่อความบริสุทธิ์ คือ พานชะ ราทริคะ - วิดิฺ (การปฏิบัติบูชาต่อพระปฏิมา) นาระดะ มุนี ตรัสว่า การปฏิบัติบูชาทำให้ร่างกาย ความคิดและจิตใจของเราบริสุทธิ์ และอีกวิธีหนึ่งคือ การสอน คริชณะจิตสำนึก ให้แก่มหาชนส่วนใหญ่ด้วยการแจกจ่ายหนังสือ แจกจ่ายพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ และแจกจ่ายพระสาดัม (อาหารมังสวิรัติที่ถวายให้องค์คริชณะแล้ว)

   ผู้ที่ปฎิบัติคริชณะจิตสำนึก ( devotee ) = [N] ผู้อุทิศตัว; ผู้ภักดีต่อกลุ่มศาสนา, สาวก, ผู้ศรัทธา, ผู้เลื่อมใส เราจะเรียกตามความหมายที่กล่าวมาทั้งหมดก็ได้ แต่ในกลุ่มผู้ปฎิบัติคริชณะจิตสำนึกในประเทศไทย เราเรียกรวมๆกันว่า สาวก ซึ่งก็คือ ผู้อุทิศตัวรับใช้ และตั้งใจปฎิบัติต่อองค์คริชณะ นั่นเอง
ศาสตร์ของคริชณะจิตสำนึก ไม่ขัดต่อหลักการของศาสนาใดๆทั้งสิ้น และหากใครปฎิบัติตนในการอุทิศตนเสียสละรับใช้ในคริชณะจิตสำนึกแล้ว บุคคลผู้นั้นจะอยู่ในหลักธรรม 4 อย่าง คือ 
- ความเมตตา ตรงกับศีลข้อที่1ของศาสนาพุทธ คือ ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หรือที่คริสตศาสนากล่าวว่า "thou shall not kill" ผู้ปฎิบัติคริชณะจิตสำนึกมีหลักความเมตตา ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ไข่ และปลา ทุกชนิด (โปรดอ่านต่อในครั้งต่อไป) 


12.12.2551

คริชณะจิตสำนึกกับปัญหาสิ่งแวดล้อม และการบริโภคอาหารมังสวิรัติ



หนังสือเรื่อง ความศักดิ์สิทธิ์ของธรรมชาติ (Divine Nature) ได้สอนสมาชิกของคริชณะจิตสำนึก (ISKCON) เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมไว้หลายเรื่อง เช่น สารที่เป็นพิษในยาปราบศัตรูพืชและในเนื้อสัตว์ การทำลายป่า สารพิษ และอากาศเป็นพิษ หนังสือเล่มนี้กล่าวถึงความไม่สอดคล้องกันระหว่างสิ่งแวดล้อมกับสังคม และเสนอทางแก้ปัญหาด้วยจิตวิญญาณ ซึ่งหมายถึงการรู้ถึงความจริงของธรรมชาติและการไม่ยึดติดอยู่กับวัตถุนิยม เราไม่จำเป็นที่จะต้องสนับสนุนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่ไม่จำเป็น เช่นการโค่นต้นไม้เพื่อป้อนอุตสาหกรรมการทำกระดาษ และอุตสากรรมอื่นๆ ปรัชญาของคริชณะจิตสำนึก ที่นำมาใช้กับแนวความคิดนี้เน้นที่ “การมีความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย และมีความคิดรอบคอบ”
     สมาชิกของ ISKCON มีความรักและผูกพันกับธรรมชาติมาก พวกเราพยายามที่จะอยู่อย่างยั่งยืน และใช้ชีวิตสงบสุขใกล้ชิดธรรมชาติ สมาชิกของคริชณะจิตสำนึกจะเคารพทุกชีวิตบนโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ นก หรือมนุษย์ด้วยกันเอง เราไม่มีสิทธิที่จะทำลายชีวิตผู้อื่นเพื่อความอยู่รอดของเรา แม้ว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นจะเป็นเพียงสัตว์ก็ตาม คนในคริชณะจิตสำนึก ต้องงดเว้นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ดังนั้น อาหารมังสวิรัติ จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสุขภาพร่างกาย จิตวิญญาณ และเพื่อสิ่งแวดล้อม
     ตามแนวความคิดของคริชณะจิตสำนึก เชื่อว่า วิกฤตสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้นเนื่องจากกิจกรรมทางวัตถุนิยม การแก้ปัญหาจะต้องนำความรู้เรื่องจิตวิญญาณมาพิจารณา คนต้องเคารพและเกรงกลัวพระเจ้า(คริชณะ) เพราะพระเจ้าคือผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ คริชณะจิตสำนึกต้องการให้คนอาศัยอยู่กับสิ่งที่พระเจ้าสร้างให้อย่างสงบและยั่งยืน โดยการอยู่อย่างเรียบง่ายและรอบคอบ ซึ่งการบริโภคอาหารมังสวิรัติจะช่วยลด ปัญหาสิ่งแวดล้อมลงได้ระดับหนึ่ง เพราะอาหารเลี้ยงคนกินมังสวิรัติใช้ทรัพยากรในการผลิตน้อยกว่า อาหารเลี้ยงคนกินเนื้อสัตว์หลายสิบเท่า
     
     มีข้อมูลเปรียบเทียบหลายอย่างที่สนับสนุนความเชื่อของกลุ่มกฤษณะจิตสำนึกในเรื่องการบริโภคเนื้อสัตว์กับการบริโภคแบบมังสวิรัติดังตัวอย่างต่อไปนี้

การผลิตอาหารมังสวิรัติทำลายทรัพยากรธรรมชาติน้อยกว่าการผลิตอาหารประเภทเนื้อสัตว์ และยังก่อให้เกิดมลภาวะทางสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าด้วย เช่น 

-การผลิตเนื้อ 1 ปอนด์ ต้องใช้เมล็ดธัญพืชและถั่วเหลืองถึง 16 ปอนด์
-พื้นที่ที่ใช้ผลิตเนื้อเพื่อเลี้ยงคนกินเนี้อ 1 คน สามารถใช้ผลิตอาหารเลี้ยงคนกินอาหารมังสวิรัติได้ถึง20 คน
-ถ้านำธัญพืชและถั่วเหลืองที่ใช้ในปศุสัตว์ทั่วทั้งสหรัฐอเมริกาใน 1 ปี มาใช้เลี้ยงคนที่กินมังสวิรัติจะสามารถเลี้ยงคนได้ถึง 1.3 พันล้านคน(Cremo & Goswami 1995)

นอกจากนี้ยังข้อมูลเปรียบเทียบในเรื่องพลังงาน ก๊าซเรือนกระจก และปริมาณน้ำที่ให้ใช้ในการผลิตเนื้อและธัญพืชดังตัวอย่างนี้
-พลังงานที่ใช้ในการผลิตเนื้อจะมากกว่า พลังงานที่ใช้ในการผลิตถั่วเหลืองจำนวนเท่ากันถึง 39 เท่า 
-การผลิตเนื้อสัตว์ ก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และ ก๊าซเรือนกระจกอื่นๆเช่น มีเทน ซึ่งเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากจากกระบวนการย่อยอาหารของวัว ทีสำคัญคือก๊าซนี้สามารถดูดความร้อนไว้ได้มากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 20 เท่า
-การเลี้ยงคนที่บริโภคเนื้อสัตว์ต้องใช้น้ำเฉลี่ย 4200 แกลลอนต่อคนต่อวัน ในขณะที่ใช้น้ำเพียง 1200 แกลลอนต่อคนต่อวัน สำหรับการเลี้ยงคนที่บริโภคแบบมังสวิรัติ
-การผลิตเนื้อ 1 ปอนด์ต้องใช้น้ำสูงถึง 2500 แกลลอน 
-การผลิตข้าวสาลี 1 ปอนด์ ใช้น้ำเพียง 25 แกลลอนเท่านั้น(Cremo & Goswami 1995)

ยิ่งไปกว่านั้นการกินอาหารมังสวิรัติยังมีข้อดีอีกหลายประการเช่น ช่วยทำให้ผู้บริโภคอาหารมังสวิรัติมีโอกาสเป็นโรคหัวใจและโรคมะเร็ง น้อยกว่าการกินอาหารประเภทเนื้อสัตว์

สิ่งสำคัญคือการลดความโลภทางวัตถุ ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการผลิตอุตสาหกรรมที่สลับซับซ้อน ที่ก่อให้เกิดมลภาวะสิ่งแวดล้อม  อีกนัยหนึ่่ง การลดมลภาวะสิ่งแวดล้อมคือการลดมลภาวะทางจิตวิญญาณของมนุษย์